นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือกับ กลุ่ม 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย เพื่อหารือมาตรการในการแก้ไขวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2567 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมหารือกับ กลุ่ม 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย เพื่อหารือมาตรการในการแก้ไขวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมด้านยุทธศาสตร์ นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมทั้ง นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม รศอ.กฤศ จันทร์สุวรรณ และเจ้าหน้าที่ สศอ. กรอ. และ ลมอ. เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก. 1 สปอ. เวลา 10.00 น.
กลุ่ม 10 สมาคมฯ รายงานสถานการณ์ของอุตสาหกรรมเหล็กไทย ซึ่งประสบปัญหาอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำอย่างต่อเนื่อง และการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กจากต่างประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนจากประเทศจีนเพิ่มขึ้น โดยจากสถานการณ์การค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศต่าง ๆ มีการใช้นโยบายและมาตรการเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กและจัดการปัญหาการผลิตส่วนเกินของเหล็กจากต่างประเทศ ทั้งนี้ กลุ่ม 10 สมาคมฯ ได้เสนอมาตรการแก้ไขวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก ประกอบด้วย
1. มาตรการสงวนเศษเหล็กเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเหล็กในประเทศ
2. การควบคุมสินค้าเหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป (พิกัด 7308) ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
3. มาตรการห้ามตั้ง/ขยายโรงงาน เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต และเหล็กแผ่นรีดร้อน รวมถึงเหล็กลวด และเหล็กท่อ ที่ประสบปัญหา
4. ส่งเสริมให้โครงการภาครัฐเลือกใช้สินค้าเหล็กในประเทศที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวตั้งแต่ระดับ 4 ขึ้นไป
5. นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดการซากรถยนต์
6. นโยบายส่งเสริมการใช้เหล็กในโครงการร่วมลงทุนภาครัฐเอกชน (PPP) ต่อยอดมาตรการ Made in Thailand
ในการนี้ รวอ. กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเพราะเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมต่อเนื่องหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงถือว่าเป็นภารกิจหลักตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กเพื่อให้อยู่รอดและสามารถแข่งขันได้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยในส่วนของมาตรการห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็ก ได้มอบหมาย สศอ. กรอ. และ สมอ. เร่งดำเนินการ และสำหรับมาตรการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอื่น ๆ จะนำไปหารือประสานงานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่อไป
กลุ่ม 10 สมาคมฯ รายงานสถานการณ์ของอุตสาหกรรมเหล็กไทย ซึ่งประสบปัญหาอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำอย่างต่อเนื่อง และการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กจากต่างประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนจากประเทศจีนเพิ่มขึ้น โดยจากสถานการณ์การค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศต่าง ๆ มีการใช้นโยบายและมาตรการเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กและจัดการปัญหาการผลิตส่วนเกินของเหล็กจากต่างประเทศ ทั้งนี้ กลุ่ม 10 สมาคมฯ ได้เสนอมาตรการแก้ไขวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก ประกอบด้วย
1. มาตรการสงวนเศษเหล็กเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเหล็กในประเทศ
2. การควบคุมสินค้าเหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป (พิกัด 7308) ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
3. มาตรการห้ามตั้ง/ขยายโรงงาน เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต และเหล็กแผ่นรีดร้อน รวมถึงเหล็กลวด และเหล็กท่อ ที่ประสบปัญหา
4. ส่งเสริมให้โครงการภาครัฐเลือกใช้สินค้าเหล็กในประเทศที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวตั้งแต่ระดับ 4 ขึ้นไป
5. นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดการซากรถยนต์
6. นโยบายส่งเสริมการใช้เหล็กในโครงการร่วมลงทุนภาครัฐเอกชน (PPP) ต่อยอดมาตรการ Made in Thailand
ในการนี้ รวอ. กล่าวว่า อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเพราะเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมต่อเนื่องหลายอุตสาหกรรม ดังนั้นจึงถือว่าเป็นภารกิจหลักตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กเพื่อให้อยู่รอดและสามารถแข่งขันได้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยในส่วนของมาตรการห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็ก ได้มอบหมาย สศอ. กรอ. และ สมอ. เร่งดำเนินการ และสำหรับมาตรการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานอื่น ๆ จะนำไปหารือประสานงานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่อไป