รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พบหารือรองปลัดกระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่น กระชับความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมภาคอุตสาหกรรม
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (รวอ.) พร้อมด้วย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางบุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และนายอนุวัตร จุลินทร ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ นายมัตสึซาวา ยูทากะ (Mr. MATSUZAWA Yutaka) รองปลัดกระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่น (Ministry of the Environment, Government of Japan: MOEJ) และคณะ เพื่อหารือความร่วมมือในด้านสิ่งแวดล้อม ณ ห้องประชุม ชั้น 19 การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ในการนี้ รวอ. ได้กล่าวถึงการได้มีโอกาสเยือนญี่ปุ่นเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 และได้เข้าพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (Ministry of Economy, Trade and Industry: METI) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม (MOEJ) เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการจัดการกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำมาเป็นต้นแบบในการร่างพระราชบัญญัติกากอุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย โดยนายมัตสึซาวา ยูทากะ ได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นที่มีอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการจัดการกากอุตสาหกรรมผ่านบันทึกความร่วมมือ (MOC) ตั้งแต่ปี 2559 และ ชื่นชม รวอ. สำหรับความตั้งใจในการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยพยายามผลักดันร่างกฎหมายการจัดการ กากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ และได้เสนอแนะว่า นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมสามารถร่วมมือกับ METI และ MOEJ ในประเด็นอื่น ๆ อาทิ การรีไซเคิลแผงโซล่าเซลล์ (Solar Panel) การรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ EV ควบคู่กันไป เนื่องจากเป็นประเด็นที่จะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ ยังได้ให้ข้อมูลการดำเนินงานของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย อาทิ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจ และการผลิต ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านการจัดกากอุตสาหกรรมอย่างมีมาตรฐาน โดยได้รับการสนับสนุนโดยสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Japan Business Federation หรือ Keidanren)
โดย รวอ. ได้เล็งเห็นว่า ในภาคการผลิตจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จึงจะเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยในประเทศไทยได้มีการสร้างมูลค่าจากวัสดุเหลือใช้ในการผลิตน้ำตาลทรายจากอ้อย อาทิ การนำใบอ้อย และวัสดุอื่น ๆ ไปแปรรูปไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ (Bio-fuel) และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดมาตรการไม่รับซื้ออ้อยที่เก็บเกี่ยวโดยผ่านกระบวนการเผา เพื่อลดปัญหามลภาวะฝุ่น PM 2.5 ซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาคส่วนที่สำคัญคือ เกษตรกรชาวไร่อ้อย ทำให้ปัญหาดังกล่าวบรรเทาลง โดยฝ่ายญี่ปุ่นเห็นว่า เชื้อเพลิงชีวภาพมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (Internal Combustion Engine: ICE) ซึ่งประเทศไทยยังคงใช้รถยนต์ ICE อยู่มาก และในปัจจุบันญี่ปุ่นและไทยได้มีความร่วมมือภายใต้กรอบผู้นำพันธมิตรเอเชียเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Asia Zero Emission Community: AZEC) ดังนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมของไทย และ METI ของญี่ปุ่นจึงควรร่วมกันพัฒนาด้านเชื้อเพลิงชีวภาพให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป นอกจากนี้ ปัจจุบันญี่ปุ่นประสบปัญหาการนำเข้าเศษพลาสติกเหลือใช้จากประเทศต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเพื่อนำไปผลิตสินค้าพลาสติกและส่งออกไปทุ่มตลาดในประเทศต่าง ๆ ทำให้ผู้ประกอบการรีไซเคิลพลาสติกของญี่ปุ่นขาดแคลนวัตถุดิบและปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก จึงเห็นควรมีความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยเช่นกัน
รวอ. กล่าวว่า ปัญหาการทุ่มตลาดดังกล่าวไม่เป็นเพียงระดับประเทศ แต่เป็นปัญหาในระดับภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศกำลังประสบปัญหาดังกล่าว ไทยและญี่ปุ่นควรร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนร่วมกันต่อไป
ในการนี้ รวอ. ได้กล่าวถึงการได้มีโอกาสเยือนญี่ปุ่นเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 และได้เข้าพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (Ministry of Economy, Trade and Industry: METI) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม (MOEJ) เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการจัดการกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำมาเป็นต้นแบบในการร่างพระราชบัญญัติกากอุตสาหกรรมและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย โดยนายมัตสึซาวา ยูทากะ ได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นที่มีอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการจัดการกากอุตสาหกรรมผ่านบันทึกความร่วมมือ (MOC) ตั้งแต่ปี 2559 และ ชื่นชม รวอ. สำหรับความตั้งใจในการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยพยายามผลักดันร่างกฎหมายการจัดการ กากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ และได้เสนอแนะว่า นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมสามารถร่วมมือกับ METI และ MOEJ ในประเด็นอื่น ๆ อาทิ การรีไซเคิลแผงโซล่าเซลล์ (Solar Panel) การรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ EV ควบคู่กันไป เนื่องจากเป็นประเด็นที่จะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ ยังได้ให้ข้อมูลการดำเนินงานของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย อาทิ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจ และการผลิต ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านการจัดกากอุตสาหกรรมอย่างมีมาตรฐาน โดยได้รับการสนับสนุนโดยสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Japan Business Federation หรือ Keidanren)
โดย รวอ. ได้เล็งเห็นว่า ในภาคการผลิตจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จึงจะเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยในประเทศไทยได้มีการสร้างมูลค่าจากวัสดุเหลือใช้ในการผลิตน้ำตาลทรายจากอ้อย อาทิ การนำใบอ้อย และวัสดุอื่น ๆ ไปแปรรูปไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ (Bio-fuel) และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดมาตรการไม่รับซื้ออ้อยที่เก็บเกี่ยวโดยผ่านกระบวนการเผา เพื่อลดปัญหามลภาวะฝุ่น PM 2.5 ซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาคส่วนที่สำคัญคือ เกษตรกรชาวไร่อ้อย ทำให้ปัญหาดังกล่าวบรรเทาลง โดยฝ่ายญี่ปุ่นเห็นว่า เชื้อเพลิงชีวภาพมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (Internal Combustion Engine: ICE) ซึ่งประเทศไทยยังคงใช้รถยนต์ ICE อยู่มาก และในปัจจุบันญี่ปุ่นและไทยได้มีความร่วมมือภายใต้กรอบผู้นำพันธมิตรเอเชียเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Asia Zero Emission Community: AZEC) ดังนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมของไทย และ METI ของญี่ปุ่นจึงควรร่วมกันพัฒนาด้านเชื้อเพลิงชีวภาพให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป นอกจากนี้ ปัจจุบันญี่ปุ่นประสบปัญหาการนำเข้าเศษพลาสติกเหลือใช้จากประเทศต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเพื่อนำไปผลิตสินค้าพลาสติกและส่งออกไปทุ่มตลาดในประเทศต่าง ๆ ทำให้ผู้ประกอบการรีไซเคิลพลาสติกของญี่ปุ่นขาดแคลนวัตถุดิบและปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก จึงเห็นควรมีความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยเช่นกัน
รวอ. กล่าวว่า ปัญหาการทุ่มตลาดดังกล่าวไม่เป็นเพียงระดับประเทศ แต่เป็นปัญหาในระดับภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศกำลังประสบปัญหาดังกล่าว ไทยและญี่ปุ่นควรร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนร่วมกันต่อไป